สิ่งที่จะต้องรู้ เมื่อจะวางระบบน้ำ สำหรับการเกษตร
ในการทำเกษตรกรร มนั้นระบบน้ำมีความจำเป็นมากที่สุด พืชต่างต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต พืชเองก็มีชีวิตเหมือนกัน ดินต้องดี น้ำต้องดีด้วย ใครที่จะทำเกษตรไม่ว่าจะรูปแบบไหน อย่ าลืมวางแผนการทำระบบน้ำไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะพืชที่ชอบน้ำมาก ๆ หากน้ำไม่พอจะส่งผลให้ผลผลิตออกมาไม่ดีหรือสร้างความเสียหายใหญ่ได้เลย ยิ่งพื้นที่เยอะหลายไร่ ยิ่งจะต้องวางระบบน้ำให้เหมาะสม เพื่อให้ส่งน้ำได้ไกลทั่วถึงทุกต้น
การวางระบบน้ำในการทำเกษตรกรร ม
ก่อนจะวางระบบน้ำนั้นต้องดูก่อนว่า ณ พื้นที่นั้น ๆ คุณทำเกษตรแบบไหน ปลูกต้นอะไรบ้าง พืชแต่ละชนิดชอบน้ำมากน้อยต่างกัน รวมถึงจะต้องดูระยะในการลำเลียงน้ำด้วยว่าไกล้ไกลแค่ไหน หากใช้สปริงเกอร์ก็ต้องดูว่าใช้แบบไหน จ่ายน้ำได้เท่าไหร่แล้วก็จัดการคำนวณออกมาเลยว่าจะใช้ท่อย่อยท่อเมนจำนวนเท่าไหร่ ปั๊มน้ำขาดไม่ได้เลย เลือกแบบที่มีคุณภาพสูงในงบที่จ่ายไหว เป็นปั๊มที่ส่งน้ำได้ดี มีรับประกันและอายุการใช้งานย าวนานจะดีมาก
สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการวางระบบน้ำ
หลัก ๆ เลย สิ่งที่เราจะต้องดูเป็นปัจจัยก่อนที่จะวางระบบน้ำคือ การรู้จักพืชที่จะปลูก รู้ระยะพื้นที่ปลูก ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ท่อต่อ ท่อเมนอื่น ๆ รวมถึงการใช้งานระบบปั๊มน้ำด้วย พอรู้จักทั้งหมดแล้วจะทำให้การวางระบบน้ำในพื้นที่เกษตรนั้นเป็นง่าย ๆ เลย
หากพืชที่ปลูกนั้นเป็นชนิดผักจะค่อนข้างเหมาะกับระบบน้ำหยด เพราะว่าค่อนข้างจะบอบช้ำได้ง่าย หากใช้ระบบน้ำอื่น ๆ อาจจะทำให้กระทบใบก็ได้ หรือจะเป็นสปริงเกอร์ก็ยังพอได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพวกพืชที่แข็งแรงไม่ช้ำง่ายจะใช้ระบบไหนก็ได้ เวลาปลูกก็ให้กะระยะให้พอดี ใกล้กันเกินไปจะทำให้แย่งสา รอาหารกันแล้วจะมีพืชบางต้นที่โตไม่เต็มที่แม้จะให้น้ำเท่ากันก็ได้ เพราะรากพืชนั้นก็ออกไปหาอาหารไกลจากโคนพอสมควร
หากพืชที่ปลูกเป็นไม้โต ไม้ยืนต้นอาจจะต้องคำนึงถึงอนาคตตอนที่พืชโตแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะว่ารากนั้นจะเริ่มเดิมออกไปหากินไกลกว่าเดิมแล้ว จะต้องวางระบบน้ำให้กระจายทั่วถึง เป็นแบบสปริงเกอร์จะเหมาะมากกว่า เลือกหัวที่กระจายน้ำได้ดี โดยตัวอย่ างหัวสปริงเกอร์ที่นิยมกันก็มีดังนี้
1 สปริงเกอร์แบบน้ำหยด การจ่ายน้ำประมาณ 1 – 20 ลิตร/ชั่ วโมง เหมาะจะใช้กับพืชระยะสั้น เช่น ผัก
2 เป็นมินิสปริงเกอร์ การจ่ายน้ำ 20 – 280 ลิตร/ชั่ วโมงโดยประมาณ แรงดัน 1 – 3 บาร์ เหมาะจะใช้ในรัศมีกระจายประมาณ 1.5 – 4 เมตร
3 มินิสปริงเกอร์แบบใบพัด ก็คือมีใบพัดเพิ่มมาด้วยนั่นเอง จะจ่ายน้ำที่ 200 – 400 ลิตร/ชั่ ว โมง หมุนจ่ายน้ำได้ มีขาผัก เหมาะจะใช้ในรัศมี 1.5 – 4 เมตร
4 สปริงเกอร์ใบ PVC (หูช้าง) จะจ่ายน้ำที่ 360 ลิตร/ชั่ วโมง โดยประมาณ แรงดันนั้นจะอยู่ที่ 1.5 บาร์ เหมาะสำหรับรัศมีการกระจายที่ 3.5 เมตร ไม้ยืนต้น สวนผลไม้ต่าง ๆ เหมาะจะใช้แบบนี้
หลังจากที่เลือกได้แล้วว่าสปริงเกอร์แบบไหนที่เข้ากับการปลูกพืช ต่อไปเราก็ต้องใส่ใจในระยะการปลูกด้วย ให้เหมาะกับพื้นที่สวนที่มี ซึ่งการมีระยะการปลูกนี่เองจะช่วยให้เรารู้ได้ง่าย ๆ ว่า ท่อย่อยที่ใช้นั้นต้องย าวแค่ไหน ความดันจะใช้เท่าไหร่ ขนาดท่อเท่าไหร่ จะช่วยในการคำนวณให้ง่ายขึ้น พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้น้ำกระจายได้อย่ างทั่วถึงพืชทุกต้น แล้วเรายังเลือกท่อเมนกับปั๊มน้ำที่มีแรงดันพอเหมาะมาใช้งานได้อีกด้วย
การเลือกปั๊มน้ำ
จะส่งน้ำไปได้อย่ างไรถ้าขาดปั๊มน้ำจริงไหม ฉะนั้นอย่ าลืมการเลือกปั๊มน้ำให้ดีด้วย โดยจะทำให้หน้าลำเลียงน้ำจากท่อเมนไปยังท่อย่อยต่าง ๆ เพื่อให้กระจายไปรดต้นไม้อ ย่ างทั่วถึง จะต้องได้ปั๊มที่ใช้กับท่อเมนหลักได้ด้วย เช่นเวลาเลือกนั้นหากท่อเมน 1 นิ้ว ปั๊มก็ต้องเป็น 1 แรงม้า ท่อเมน 2 นิ้ว ปั๊ม 2 แรงม้า ประมาณนี้ เพราะว่าปั๊มน้ำจะทำหน้าที่ควบคุมแรงดันน้ำ ระยะส่งของน้ำ ถ้าปั๊มแรงดันเยอะแต่ท่อเมนรับไม่ไหวมันก็แตกนะ เลยต้องเลือกให้เข้าคู่กันด้วย
ในการออกแบบและวางระบบน้ำที่ใช้ในการเกษตรนั้นจะต้องเหมาะสมกับต้นพืช เหมาะกับขนาดพื้นที่ แล้วยังต้องเลือกปั๊มให้เข้ากับท่อเมนด้วย มิเช่นนั้นปัญหาที่ทำให้ปว ดหัวคงตามมา ฉะนั้นจะวางระบบน้ำทั้งทีก็ต้องเอาให้ดี ทำให้ออกมาใช้งานได้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไป
ในการทำเกษตรหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นชีวิตที่เรียบง่ายพอเพียง อยู่สุขสบาย มันก็จริงบางส่วนแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับชีวิตแบบนี้ หากใครที่เป็นเกษตรกรมือใหม่ก่อนจะปลูกอะไรควรศึกษาข้อมูลทุกอย่ างให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนิดพืชที่สนใจ สภาพดินดีดินเสีย ระบบน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะทุกอย่ างมันมีต้นทุนไม่ทางเงินก็ทางเวลา
เรียบเรียงโดย kasetchaoban